ทำอย่างไรจึงจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ในแต่ละแบบได้? ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า แต่ละคนจะมีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกัน บางคนจะเรียนรู้ได้ดีจากการพูดคุย หรือจากการอ่าน เป็นต้น ดั้งนั้น วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของสมองย่อมแตกต่างไปตามรูปแบบการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้
1. การสร้างความจำ ทางกายภาพสมองมนุษย์เราสามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้ ภายในเวลา 1 / 1000 วินาที และโดยรู้ตัวหรือไม่ ข้อมูลที่เราได้รับจะอยู่ภายในสมองเราครบถ้วน เพียงแต่เราไม่สามารถดึงข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ได้ สาเหตุหนึ่งมาจากการ " การลืม " ทุกครั้งที่เราได้รับข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ การอ่าน ฟัง หรือคิด เป็นต้น จะเกิดอัตราการลืมโดยเฉลี่ยภายใน 5 นาที จะจำข้อมูลได้ 50% และถ้าผ่านไป 1 วัน จำได้ 10 %จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ แต่ข้อมูลทั้งหมดยังอยู่ในสมองของเรา คำถาม : ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถจำข้อมูลที่เราอยากจำได้ ?
1. จดบันทึก (take note) : เป็นการสั่งสมองให้จำข้อมูล
2. สร้างภาพ : เพื่อช่วยให้มีความจำดีขึ้น ภาพที่สร้างควร • ขนาดใหญ่กว่าความจริง • ขยับมาก มีสีสัน ความรู้สึกรุนแรง • เกินความจริง เช่น ลิงพูดได้ เป็นต้น
2. การอ่าน Information is power ในสังคมปัจจุบันใครที่มีข้อมูลมากก็ย่อมมีความคิดที่ลุ่มลึกกว่า และความคิดก็จะนำมาซึ่งเงินทอง ฐานะ ตำแหน่งและอำนาจ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการอ่าน เราควรทราบวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านด้วยวิธีง่าย ๆ อันดับแรกคือ ถามตัวเองก่อนกว่า " เราต้องการประโยชน์อะไรจากการอ่านในครั้งนี้
" เทคนิคในการอ่านเร็ว
ควรอ่านไม่มีเสียงในใจ
การอ่านจับใจความสำคัญ : เพื่อหาประเด็นที่ผู้เขียนต้องการสื่อ สามารถทำได้โดย
• เริ่มต้นการอ่านด้วยการหา key concept >> ตัดสินใจว่าจำเป็นต้องอ่านรึเปล่า เราต้องการรู้อะไร และจะอ่านส่วนไหนบ้าง >> อ่านเจาะประเด็น ก็ทำให้เราไม่เสียเวลาอ่านทุกหน้า
ต้องประเมินแหล่งข้อมูล เพราะประโยชน์สูงสุดของการอ่านคือ การนำข้อมูลมาใช้ จึงจำเป็นต้องประเมินความน่าเชื่อถือ และแหล่งที่มาของข้อมูล สามารถวัดได้จาก เช่นเป็นข้อมูลที่ up date หรือไม่, สำนักพิมพ์อะไร เป็นต้น
3. การฟัง ตามทฤษฎีที่ว่าข้อมูลที่เราได้รับทุกอย่างจะถูกบันทึกในสมองของเรา ถ้าเราได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในทางบวกเยอะๆ ย่อมทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่บวก พร้อมที่จะแก้ปัญหามากกว่ายอมแพ้ปัญหา ดังนั้น เราควรกลั่นกรองแต่ละข้อมูลที่เราได้รับ ก่อนที่ข้อมูลนั้นจะถูก Memory ในสมองของเรา ซึ่งมีกลวิธีดังนี้
1.ประเมินผู้พูด : มีความน่าเชื่อถือ หรือไม่
ความน่าเชื่อถือ ---->> เทคนิค
น่าเชื่อถือ แต่ไม่ชอบพูด ---->> ตั้งคำถาม หรือพูดยั่วยุแต่สุภาพ เช่น วิพากษ์วิจารณ์ความคิด เพื่อกระตุ้นให้ เขาพูด เป็นต้น
น่าเชื่อถือ แต่พูดไม่ตรงประเด็น ---->> ให้ถามอย่างสุภาพว่า ประเด็นที่กำลัง พูดคืออะไร? ช่วยสรุปให้ฟังสัก 2 ประโยคได้มั้ย?
ไม่น่าเชื่อถือ ---->> ให้เราฟังตามมารยาทสังคม
2. self-talk : ถามตัวเองตลอดเวลาว่า " ผู้พูดต้องการพูดเพื่ออะไร "
3. ฟังด้วยความรู้สึก : ใช่ หรือไม่ใช่
4. การคิด คนที่จะประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องมี IQ สูง แต่ต้องมีความคิดอย่างเป็นระบบ และคิดอย่างสร้างสรรค์ในเรื่องที่มีประโยชน์ โดยมีระบบความคิดทั้งหมด 6 ประเภท ดังต่อไปนี้
ประเภท ลักษณะ
1.Think objectively คิดอย่างเป็นกลาง--เห็นความจริงตรง ตามความจริง
2.Think productively คิด ตัดสินใจโดยมองที่ "ผล" เมื่อเจอสถานการณ์หนึ่ง แล้วสามารถคิด พิเคราะห์ถึงผลทั้ง ด้านบวกและลบที่จะตามมา
3.Think positively คิดหาทางแก้ปัญหา เมื่อพบอุปสรรคก็ยังสามารถคิดหาทางพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
4.Think creatively ความคิดที่สร้างเหตุและปัจจัยอันใหม่ เพื่อ สร้างอนาคตของตัวเอง
ความสามารถในการเชื่อมโยง สิ่งต่าง ๆ ที่ เคยชินกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อาจสร้าง ได้โดยการถามตัวเองว่า "ทำอย่างไรจึงจะ
ทำงานของเราได้ดีกว่าเดิม?"
5.Think intuitively เป็นความคิดที่ได้มาจากการถาม ความรู้สึกภายใน
6.Think about the mode คิดเกี่ยวกับความคิดตัวเอง วิพากษ์วิจารณ์ความคิดตัวเองว่า คิดเป็นระบบหรือไม่, บิดเบือนความจริงหรือไม่, คิด ด้วยอารมณ์รึเปล่า : นักคิดระดับโลกต้องคิดอยู่เหนืออารมณ์
โดยสรุป ทุกคนสามารถเพิ่มความฉลาดให้ตัวเองได้ด้วย การระมัดระวังความคิด ถ้าจะคิดให้ใช้สมองคิดแต่เรื่องที่มีประโยชน์อยู่ตลอดเวลา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น